KPI คืออะไร? ความสำคัญและบทบาทในการทำธุรกิจออนไลน์
KPI หรือ Key Performance Indicator คือ ตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดผลลัพธ์ของเป้าหมายทางธุรกิจหรือโครงการต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการตลาด การดำเนินงาน หรือการบริหารจัดการเว็บไซต์ในยุคดิจิทัลนั้น KPI ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารสามารถติดตามความคืบหน้า วิเคราะห์ปัญหา และปรับกลยุทธ์ได้อย่างตรงจุด
ในประเทศไทยที่มีการแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี การตั้งค่าและวัดผล KPI อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับลักษณะของเว็บไซต์และกลุ่มเป้าหมายจึงกลายเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญอย่างแท้จริง เพราะการเลือกใช้งาน KPI ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ รวมทั้งทำให้พลาดโอกาสในการเติบโตของธุรกิจที่สำคัญในตลาดไทยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
หลักการตั้งค่า KPI เพื่อวัดผลเว็บไซต์อย่างได้ผล
การตั้ง KPI สำหรับเว็บไซต์นั้นมีขั้นตอนและแนวทางที่เจาะจงเพื่อให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ของธุรกิจออนไลน์ ซึ่งผมได้สั่งสมประสบการณ์จากการทำงานกับลูกค้าหลากหลายทั้งของไทยและต่างประเทศ พบว่า KPI ที่มีประสิทธิภาพ ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติหลัก 5 ข้อ คือ
- เฉพาะเจาะจง (Specific): ต้องชัดเจนวัดได้ เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ต่อเดือน หรือยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์
- วัดผลได้ (Measurable): ต้องสามารถแปลผลได้เป็นตัวเลข เช่น อัตราการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้าจริง
- บรรลุผลได้ (Achievable): ตั้งเป้าให้ท้าทายแต่สมเหตุสมผล เช่น เพิ่มยอดขาย 10% ภายใน 3 เดือน
- เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Relevant): KPI ต้องสัมพันธ์กับเป้าหมายทางธุรกิจ เช่น การเพิ่มจำนวนสมาชิกนิวส์เลตเตอร์เหมาะกับเว็บไซต์เนื้อหาข่าวสาร
- จำกัดเวลา (Time-bound): ต้องระบุระยะเวลา เช่น การเพิ่มจำนวนผู้ติดตามใน Facebook ภายในไตรมาสนี้
การตั้ง KPI ที่บรรจุในหลัก SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) เป็นมาตรฐานที่ช่วยให้ธุรกิจทำความเข้าใจและใช้วัดผลได้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ตลาดออนไลน์กำลังขยายตัว วิธีการนี้ทำให้เจ้าของเว็บไซต์หรือทีมงานมีเป้าหมายชัดเจนและวัดผลได้ เพื่อการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
เลือก KPI ให้ตรงกับวัตถุประสงค์เว็บไซต์
การดำเนินงานเว็บไซต์แต่ละประเภทมีเป้าหมายและบริบทที่แตกต่างกัน การเลือก KPI จึงต้องพิจารณาจากประเภทของเว็บไซต์เป็นหลัก ซึ่งในโลกดิจิทัลตอนนี้ ผมจะแนะนำ KPI ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ประเภทหลักดังนี้
- เว็บไซต์ขายสินค้า (E-Commerce): KPI ที่สำคัญ อาทิเช่น อัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมมาเป็นผู้ซื้อ, ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อผู้ซื้อ (Average Order Value), อัตราการทิ้งตะกร้าสินค้า (Cart Abandonment Rate), จำนวนลูกค้าใหม่ เป็นต้น
- เว็บไซต์เนื้อหาหรือข่าวสาร (Content Site): KPI เช่น จำนวนผู้เข้าชม, เวลาที่ใช้ในเว็บไซต์ (Average Session Duration), จำนวนหน้าเพจที่เปิดต่อครั้ง, จำนวนสมาชิกนิวส์เลตเตอร์, อัตราการแชร์บทความในโซเชียลมีเดีย
- เว็บไซต์บริการหรือให้คำปรึกษา (Service Website): ตัวชี้วัดเช่น จำนวนการกรอกแบบฟอร์มติดต่อ, การนัดหมาย, อัตราการตอบสนองต่อคำถาม, และคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Score)
กระบวนการตั้ง KPI สำหรับเว็บไซต์ดำเนินการในประเทศไทย
จากประสบการณ์ตรงที่ได้ดูแลลูกค้าธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทยมากมาย พบว่าการตั้ง KPI ต้องเจาะจงและสัมพันธ์กับลักษณะของตลาด สังคม รวมถึงเทรนด์ที่มีผลกระทบอย่างมากในไทย ตัวอย่างเช่น การใช้โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, LINE หรือ Instagram ที่เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย บรรดา KPI ที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วม (Engagement) จะต้องถูกกำหนดและวัดผลในแง่มุมนี้ เช่น ความถี่ในการแชร์โพสต์ หรือจำนวนคอมเมนต์ในแคมเปญโฆษณา
นอกจากนี้ เรื่องของการทำ SEO เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาใน Google ภาษาไทย ก็เป็นอีกหัวใจสำคัญ เพราะพฤติกรรมผู้ใช้งานในไทยมีเอกลักษณ์และความต้องการเฉพาะเจาะจง การกำหนด KPI เช่น การเพิ่มอันดับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงจำนวนการคลิกที่มาจากการค้นหานี้ จึงเป็นตัวชี้วัดที่ต้องใช้ควบคู่กันไป
ตัวอย่างการวาง KPI และเป้าหมายสำหรับเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ในไทย
สมมุติว่าธุรกิจของคุณเป็นร้านค้าออนไลน์ที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่น เช่น เสื้อผ้าหรือรองเท้า ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ และเป้าหมายหลักคือการเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ภายในปีนี้ ในเบื้องต้น คุณสามารถตั้งค่า KPI ดังตารางต่อไปนี้เพื่อวัดประสิทธิภาพได้
| ตัวชี้วัด (KPI) | คำอธิบาย | เป้าหมาย (ใน 6 เดือนข้างหน้า) |
|---|---|---|
| จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ | จำนวนผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกันต่อเดือน | เพิ่มขึ้น 30% จาก 50,000 เป็น 65,000 คน |
| อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) | เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ซื้อสินค้าจากผู้เยี่ยมชมทั้งหมด | จาก 2% เป็น 3.5% |
| ค่าเฉลี่ยรายได้รับต่อคำสั่งซื้อ (Average Order Value) | ยอดรายได้ที่เฉลี่ยต่อการซื้อแต่ละครั้ง | เพิ่มเป็น 1,200 THB จาก 900 THB |
| อัตราการทิ้งตะกร้าสินค้า | เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่หยิบสินค้าใส่ตะกร้าแต่ไม่ซื้อ | ลดลงจาก 75% เป็น 60% |
| จำนวนลูกค้าใหม่ | จำนวนลูกค้าที่ซื้อครั้งแรกในช่วงเวลาที่กำหนด | เพิ่มเข้า 1,500 คนต่อเดือน |
เทคนิคการเก็บข้อมูลและติดตาม KPI อย่างมีประสิทธิภาพ
ในยุคดิจิทัลนี้ การวัด KPI จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือและเทคโนโลยีช่วยติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ วิธีการที่ผมใช้กับลูกค้าของผมรวมถึงธุรกิจไทยหลายแห่งคือการติดตั้ง Google Analytics เพื่อวัดพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์อย่างละเอียด เช่น ดูข้อมูลผู้ใช้งานจำนวนเท่าไร อัตราการรับส่งข้อมูลหน้าเว็บ และแหล่งที่มาของผู้เข้าใช้เว็บไซต์
นอกจากนั้น ควรใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าและประวัติการซื้อขาย เพื่อให้เข้าใจลูกค้าและคำนวณค่า KPI อื่น ๆ ได้สมบูรณ์ขึ้นเช่น อัตราการซื้อซ้ำ และ Customer Lifetime Value (CLV) การเชื่อมต่อข้อมูลจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกับเว็บไซต์เองก็ช่วยให้สามารถวัด KPI ด้าน Social Engagement ได้ด้วยเช่นกัน เช่น จำนวนคลิกที่มาจากโพสต์ Facebook หรือ CTR (Click Through Rate)
ประสบการณ์จริง: ตัวอย่างการปรับ KPI ที่สร้างผลลัพธ์ธุรกิจในไทย
ผมเคยร่วมมือกับบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสุขภาพในกรุงเทพฯ ที่มีเว็บไซต์ให้บริการนัดหมายแพทย์ออนไลน์ ลูกค้าเริ่มต้นมาด้วย KPI วัดผลเพียงตัวเดียวคือ "จำนวนการจองผ่านเว็บไซต์" แต่ไม่สามารถวัดคุณภาพผู้ใช้งานหรือความพึงพอใจได้ ทำให้เห็นยอดจองเพียงอย่างเดียวแต่ไม่รู้ว่าเป็นลูกค้าประจำหรือเพียงครั้งเดียว เท่าที่เจาะลึกลงไปตามหลัก SMART จึงแนะนำให้เพิ่ม KPI เช่น จำนวนการเข้าชมหน้า FAQ หรือบทความสุขภาพ, เวลาที่ใช้ในหน้าเว็บส่วนให้คำปรึกษา และการกดแชร์ข้อมูลจนกลายเป็นลูกค้าซื้อซ้ำ
หลังจากตั้ง KPI แบบนี้ ลูกค้าได้ใช้ข้อมูลในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีเนื้อหาครอบคลุมมากขึ้น ช่วยเพิ่ม Engagement และยอดจองเพิ่มขึ้นกว่า 50% ภายใน 4 เดือน พร้อมกับขยายฐานลูกค้าในกรุงเทพและปริมณฑลอย่างมั่นคง เนื่องจากการติดตาม KPI ที่ถูกต้องและใกล้เคียงกับเป้าหมายธุรกิจนั้น ทำให้การตัดสินใจทำได้เร็วและตรงเป้า
ข้อควรระวังในการตั้ง KPI สำหรับเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับธุรกิจไทย
การตั้ง KPI นั้นไม่ควรตั้งเป้าหมายที่ไม่สามารถวัดหรือไม่มีประโยชน์ เช่น ตั้งเป้าหมายจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์อย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของผู้เข้าชม หรือยอดขายที่สูงแต่ไม่ยั่งยืน การตั้ง KPI ที่ขัดแย้งกันเอง หรือมีเป้าหมายที่เกินความเป็นจริงมากเกินไปก็เป็นข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้น
ในธุรกิจไทยที่บางครั้งมีบริบทเรื่องฤดูกาลและความนิยมของตลาดท้องถิ่น ต้องปรับเป้าหมาย KPI ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาทางธุรกิจ เช่น เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ หรือมหกรรมลดราคาสินค้าออนไลน์ รวมถึงพฤติกรรมการชำระเงินที่ผู้บริโภคในประเทศไทยนิยมใช้ เช่น บัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ เพื่อให้ KPI ที่ตั้งขึ้นนั้นมีโอกาสเกิดผลจริง
การตั้งเป้าหมาย KPI ที่เชื่อมโยงกับกลยุทธ์ธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทย
การตั้ง KPI สำหรับเว็บไซต์จะต้องสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทยที่ตลาดออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วและมีผู้เล่นจำนวนมาก การสร้าง KPI ที่ชัดเจนช่วยให้องค์กรสามารถโฟกัสทรัพยากรและกำหนดทิศทางได้ถูกต้อง เช่น ถ้าธุรกิจวางเป้าหมายขยายตลาดไปยังวัยรุ่นในกรุงเทพฯ ก็ต้องเลือกตัวชี้วัดที่สะท้อนพฤติกรรมผู้ใช้งานกลุ่มนั้น เช่น การวัดจำนวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน หรือจำนวนผู้ติดตามโซเชียลมีเดียที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่าง KPI ตามกลยุทธ์ธุรกิจในไทย
- กลยุทธ์เน้นการสร้างแบรนด์: จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์, การเติบโตของผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย, อัตรา Engagement
- กลยุทธ์เพิ่มยอดขายออนไลน์: อัตราการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate), ส่วนแบ่งยอดขายจากช่องทางออนไลน์, ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อคำสั่งซื้อ
- กลยุทธ์ส่งเสริมการบริการลูกค้า: ระยะเวลาตอบกลับคำถาม, คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Score), อัตราการเก็บข้อมูลรีวิวจากลูกค้า
ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตาม KPI อย่างชาญฉลาด
ในยุคเทคโนโลยีสูง การตั้ง KPI เพียงอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ท้าทายคือการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ผลเพื่อปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมแนะนำให้ธุรกิจนำเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเข้ามาช่วย เช่น Google Analytics, Google Data Studio, Tableau หรือ Power BI โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของเว็บไซต์ในมุมต่าง ๆ รวมถึงเทรนด์ของผู้ใช้และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา
ตัวอย่างเช่น ในช่วงแคมเปญลดราคาสินค้าในประเทศไทย บริษัทหนึ่งที่ผมทำงานร่วมสามารถติดตามผลลัพธ์ผ่าน Dashboard แบบเรียลไทม์ พร้อม ๆ กับ KPI หลัก เช่น จำนวนการคลิกโฆษณา, จำนวนคำสั่งซื้อ, และรายได้เฉลี่ยต่อวัน ทำให้ทีมงานสามารถตัดสินใจปรับงบประมาณโฆษณาและโปรโมชั่นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้งบโฆษณา THB 500,000 ถูกใช้อย่างคุ้มค่าและสร้างยอดขายเพิ่มกว่า 40%
เติมเต็ม KPI ด้วยการใช้ A/B Testing เพื่อพัฒนาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในเคล็ดลับที่ผมมักแนะนำลูกค้าองค์กรใหญ่ในไทย คือการผสมผสาน KPI กับกระบวนการทดสอบต่าง ๆ โดยเฉพาะ A/B Testing ที่ทดสอบแยกหน้าตาหรือข้อความรูปแบบต่าง ๆ บนเว็บไซต์ การหาองค์ประกอบที่ทำให้ผู้ใช้งานอยากอยู่ดูเนื้อหา หรือตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นนั้นมีผลโดยตรงต่อ KPI เช่น Conversion Rate และ Bounce Rate
ผมขอยกตัวอย่างจากเว็บไซต์ของบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พวกเขาทำการทดสอบสองแบบในหน้า Landing Page คือ รูปแบบปุ่ม “ซื้อเลย” สีแดง กับสีเขียว พบว่าปุ่มสีเขียวสร้างอัตรา Conversion สูงกว่าถึง 15% ซึ่งต่างจากที่คิดไว้แรกเริ่ม นี่คือข้อมูล KPI ที่เปลี่ยนแปลงไปตามการวัดผลจริง และนำไปสู่การปรับแต่งเว็บไซต์ที่ได้ผลดีขึ้นอย่างแท้จริง
คำแนะนำสำหรับเจ้าของธุรกิจไทย: หลีกเลี่ยง KPI ที่ใช้วัดผลแบบข้ามความจริง
ธุรกิจในประเทศไทยควรระวังไม่ตั้ง KPI แบบทำให้ทีมงานต้องมุ่งแต่ตัวเลขที่ดูดีโดยไม่ได้สนใจผลลัพธ์ที่แท้จริง เช่น การตั้ง KPI เรื่องจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์อย่างเดียวโดยไม่วัดประสิทธิภาพการแปลง หรือการเน้น KPI เรื่องยอดไลค์เพจโดยไม่สนใจคุณภาพของกลุ่มเป้าหมาย เพราะสิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นเป้าหมายปลอมและไม่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ยังมีอีกเรื่องที่เจ้าของธุรกิจในไทยต้องคำนึงถึงคือ KPI ต้องสอดคล้องกับทรัพยากรและความสามารถของบริษัท การตั้งเป้าหมายที่เกินความสามารถจริงจะทำให้ทีมงานเสียกำลังใจและเกิดความเครียด ซึ่งส่งผลเสียต่อความมั่นคงขององค์กรได้
การตั้ง KPI แบบ Dynamic เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของตลาดไทย
ความเปลี่ยนแปลงของตลาดออนไลน์ในประเทศไทยมีความรวดเร็วและไม่แน่นอนเสมอไป จึงควรตั้ง KPI ให้มีความยืดหยุ่นแบบ Dynamic และมีการ Review ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ปัจจุบันอย่างน้อยทุกไตรมาส ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ผู้บริโภคชาวไทยหันมาใช้ Mobile มากขึ้น อาจจำเป็นต้องเพิ่ม KPI ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์การใช้งานผ่านมือถือ (Mobile User Experience) เช่น อัตราการโหลดหน้าเว็บบนมือถือและเวลาการใช้งานต่อครั้ง
เมื่อนำเสนอ KPI ที่ชัดเจนในคณะบุคคลหลายฝ่าย จะช่วยสร้างความเข้าใจร่วมกันและผลักดันแผนงานได้สำเร็จเร็วขึ้น ยอมรับว่าการตั้ง KPI สำหรับเว็บไซต์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นบทบาทสำคัญของเจ้าของธุรกิจในยุคนี้เพื่อชัยชนะในตลาดออนไลน์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Marketing)
ตัวอย่าง KPI สำคัญสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจในประเทศไทย
| ประเภทเว็บไซต์ | KPI ที่เหมาะสม | ตัวอย่างเป้าหมาย |
|---|---|---|
| ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) | อัตราการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า, ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อคำสั่งซื้อ, จำนวนลูกค้าใหม่ | เพิ่ม Conversion Rate จาก 2% เป็น 4%, เพิ่มค่า AOV จาก 800 เป็น 1,200 THB, เพิ่มลูกค้าใหม่ 1,000 คนต่อเดือน |
| เว็บไซต์ข่าวสารและบล็อก | จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์, เวลาที่ใช้ในเว็บไซต์, อัตราการแชร์บนโซเชียล | เพิ่มผู้เข้าชม 20%, เวลาค่าเฉลี่ย 3 นาทีต่อครั้ง, จำนวนแชร์เพิ่ม 50% |
| เว็บไซต์ให้บริการ / ให้คำปรึกษา | จำนวนการกรอกแบบฟอร์มติดต่อ, เวลาเฉลี่ยในการตอบกลับ, คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า | เพิ่มแบบฟอร์มติดต่อ 25%, ลดเวลาในการตอบกลับเหลือ 3 ชั่วโมง, คะแนน CSAT 90% |
สรุป: วิธีการเลือกและปรับใช้ KPI ให้เหมาะกับธุรกิจไทย
- ทำความเข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจอย่างชัดเจนก่อนตั้ง KPI
- ใช้หลัก SMART ในการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด
- เลือก KPI ที่เหมาะสมกับประเภทเว็บไซต์และกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทย
- ติดตามและวิเคราะห์ KPI อย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม
- ใช้ข้อมูลจาก KPI ในการปรับกลยุทธ์และทดลองปรับปรุงเว็บไซต์เป็นระยะ
การเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่องในด้านการตั้ง KPI จะช่วยให้เว็บไซต์และธุรกิจของคุณเติบโตในตลาดออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในประเทศไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
เราเป็นเอเจนซี่การตลาดที่ดีที่สุดในประเทศไทยบนอินเทอร์เน็ต
หากคุณต้องการความช่วยเหลือ กรุณาติดต่อเราผ่านแบบฟอร์มติดต่อ
ปรึกษาฟรี










TH Ranking ให้บริการทราฟฟิกเว็บไซต์คุณภาพสูงที่สุดในประเทศไทย เรามีบริการทราฟฟิกหลากหลายรูปแบบสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ทราฟฟิกเว็บไซต์, ทราฟฟิกจากเดสก์ท็อป, ทราฟฟิกจากมือถือ, ทราฟฟิกจาก Google, ทราฟฟิกจากการค้นหา, ทราฟฟิกจาก eCommerce, ทราฟฟิกจาก YouTube และทราฟฟิกจาก TikTok เว็บไซต์ของเรามีอัตราความพึงพอใจของลูกค้า 100% คุณจึงสามารถสั่งซื้อทราฟฟิก SEO จำนวนมากทางออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ เพียง 398 บาทต่อเดือน คุณสามารถเพิ่มทราฟฟิกเว็บไซต์ ปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO และเพิ่มยอดขายได้ทันที!
เลือกแพ็กเกจทราฟฟิกไม่ถูกใช่ไหม? ติดต่อเราได้เลย ทีมงานของเราพร้อมให้ความช่วยเหลือ
ปรึกษาฟรี