
สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ผมมีโอกาสพิเศษในการบรรยายเรื่องที่สำคัญสำหรับผู้ที่ทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการและนักการตลาดออนไลน์ในโลกยุคดิจิทัล นั่นคือเรื่องของ RAID หรือ Redundant Array of Independent Disks ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของข้อมูลในระบบเก็บข้อมูลขององค์กรและธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทอัพในประเทศไทยหรือบริษัทข้ามชาติ RAID ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ข้อมูลของคุณปลอดภัยและเข้าถึงได้รวดเร็วในเวลาเดียวกัน
ในบทความนี้ ผมจะอธิบายว่า RAID คืออะไร ทำงานอย่างไร พร้อมแยกแยะความแตกต่างของ RAID ที่ใช้มากที่สุด ได้แก่ RAID 1, RAID 5, RAID 6 และ RAID 10 ผ่านประสบการณ์จริงที่ผมได้พบเจอจากการทำงานด้านไอทีในหลากหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยครับ
RAID คืออะไร?
RAID หรือ Redundant Array of Independent Disks คือระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายข้อมูล (data storage virtualization) บนฮาร์ดดิสก์หลายลูกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของข้อมูล กล่าวง่าย ๆ ก็คือ RAID เป็นการรวมฮาร์ดดิสก์หลายลูกเข้าด้วยกันในรูปแบบที่จัดการให้เกิดความสมดุลระหว่างความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลและการป้องกันความเสียหายของข้อมูล
จุดเด่นของ RAID คือสามารถลดความเสี่ยงของการสูญหายข้อมูล เมื่อฮาร์ดดิสก์ลูกใดลูกหนึ่งเสียหาย ข้อมูลยังคงอยู่และเข้าถึงได้จากดิสก์อื่นภายในระบบ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจในยุคดิจิทัลที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง เช่น ธุรกิจ e-Commerce, ธุรกิจสื่อออนไลน์ หรือระบบเก็บข้อมูลลูกค้าต่าง ๆ
หลักการทำงานของ RAID
RAID ทำงานโดยกระจายข้อมูลและ/หรือสร้างข้อมูลซ้ำ (redundancy) บนหลาย ๆ ฮาร์ดดิสก์ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลหนึ่ง ๆ อาจถูกแบ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ และเก็บไว้ในฮาร์ดไดรฟ์หลายลูก (striping) หรือสำเนาข้อมูลถูกเก็บไว้บนไดรฟ์ที่ต่างกัน (mirroring) ขึ้นอยู่กับประเภทของ RAID ที่เลือกใช้
การใช้ RAID จึงช่วยให้ระบบสามารถรองรับการเสียหายของฮาร์ดไดรฟ์บางตัวได้โดยไม่สูญเสียข้อมูล รวมถึงเพิ่มความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลในบางโหมดด้วย
RAID แต่ละประเภทใช้อย่างไร แตกต่างกันอย่างไร?
RAID มีหลายระดับ (levels) ที่ถูกพัฒนาขึ้นตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันไป แต่ที่นิยมใช้ในธุรกิจและองค์กรทั่วไปจะมี 4 ประเภทหลัก ดังนี้
- RAID 1 (Mirroring)
- RAID 5 (Striping with Parity)
- RAID 6 (Striping with Double Parity)
- RAID 10 (Combination of RAID 1 and RAID 0)
1. RAID 1: Mirroring – การทำสำเนาข้อมูลแบบสมบูรณ์
RAID 1 คือการทำสำเนาข้อมูลแบบ Mirror ลงบนฮาร์ดไดรฟ์สองลูกขึ้นไป มีข้อดีคือ เมื่อฮาร์ดดิสก์ลูกหนึ่งเสีย ข้อมูลจะไม่สูญหายเพราะมีสำเนาอยู่บนอีกลูกหนึ่งโดยทันที ข้อมูลที่ถูกเขียนจะถูกบันทึกพร้อมกันในทุกฮาร์ดดิสก์ที่รวมอยู่ใน RAID 1
ข้อดี:
- ความปลอดภัยข้อมูลสูง เพราะมีสำเนาข้อมูลครบถ้วน
- ระบบสามารถอ่านข้อมูลได้เร็วขึ้นเนื่องจากสามารถอ่านจากดิสก์ไหนก็ได้
ข้อเสีย:
- ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลเป็นสองเท่าของข้อมูลจริง เช่น ถ้าเก็บข้อมูล 1TB ต้องใช้ฮาร์ดไดรฟ์รวมอย่างน้อย 2TB
- ไม่เพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนข้อมูล
ตัวอย่างในประเทศไทย: ในบริษัทสตาร์ทอัพด้านฟินเทคแห่งหนึ่งที่ผมเคยร่วมงานอยู่ พวกเขาใช้ RAID 1 กับเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลหลักเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า เพราะข้อมูลทางการเงินต้องปลอดภัยสูงสุด แม้จะต้องลงทุนฮาร์ดไดรฟ์เพิ่มขึ้นแต่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
2. RAID 5: Striping with Parity – การแบ่งข้อมูลพร้อมตรวจสอบความสมบูรณ์
RAID 5 ใช้หลักการแบ่งข้อมูล (striping) พร้อมเก็บชุดตรวจสอบความถูกต้อง (parity) ไว้บนฮาร์ดไดรฟ์ตัวอื่นในระบบ เพื่อให้เมื่อฮาร์ดไดรฟ์ลูกหนึ่งเสียหาย ข้อมูลสามารถถูกคำนวณและกู้คืนได้จากไดรฟ์ที่เหลือ RAID 5 ต้องใช้ฮาร์ดไดรฟ์อย่างน้อย 3 ลูกขึ้นไป
ข้อดี:
- ให้ทั้งความรวดเร็วในการอ่านข้อมูลและความปลอดภัยของข้อมูลในระดับที่ดี
- ประหยัดพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า RAID 1 เพราะใช้พื้นที่บางส่วนสำหรับ parity เท่านั้น
ข้อเสีย:
- ความเร็วในการเขียนข้อมูลจะช้าลงเล็กน้อยเนื่องจากต้องคำนวณ parity
- ถ้ามีฮาร์ดไดรฟ์เสียพร้อมกันมากกว่า 1 ลูก ข้อมูลอาจสูญหาย
ประสบการณ์ส่วนตัว: ในบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติญี่ปุ่นที่ผมเคยทำงาน โดยมีสาขาในกรุงเทพฯ พวกเขาเลือกใช้ RAID 5 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ เพื่อรองรับการเก็บไฟล์โฆษณาและสื่อออนไลน์จำนวนมาก เนื่องจากต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายฮาร์ดไดรฟ์และยังต้องการความปลอดภัยระดับหนึ่ง
3. RAID 6: Striping with Double Parity – ความปลอดภัยระดับสูงขึ้นอีกขั้น
RAID 6 คล้ายกับ RAID 5 แต่มีการเก็บ parity ถึงสองชุด จึงสามารถทนต่อฮาร์ดไดรฟ์เสียหายได้ถึงสองลูกพร้อมกัน ซึ่งเหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูงสุด โดยต้องใช้ฮาร์ดไดรฟ์อย่างน้อย 4 ลูกขึ้นไป
ข้อดี:
- ทนต่อความเสียหายของฮาร์ดไดรฟ์ได้สองลูกพร้อมกัน
- เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยข้อมูลสูงสุด เช่น ธนาคาร โรงพยาบาล หรือศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
ข้อเสีย:
- ประสิทธิภาพในการเขียนช้ากว่า RAID 5 เพราะต้องคำนวณ parity สองชุด
- ต้องใช้พื้นที่เก็บ parity มากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่เก็บใช้งานจริงลดลง
ตัวอย่าง: ในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ให้บริการคลาวด์ในประเทศไทย รายหนึ่งเลือกใช้ RAID 6 เพื่อป้องกันความเสียหายของข้อมูลลูกค้าและระบบเซิร์ฟเวอร์ในกรณีฮาร์ดไดรฟ์เสียพร้อมกันหลายลูก ระบบนี้ช่วยลด downtime และเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้บริการอย่างมาก ตัวเลขค่าใช้จ่ายสำหรับฮาร์ดไดรฟ์ระดับนี้เริ่มต้นประมาณ 10,000 THB ต่อลูกสำหรับรุ่นคุณภาพสูงซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ได้รับ
4. RAID 10: การผสมผสานระหว่าง RAID 1 และ RAID 0
RAID 10 หรือบางครั้งเรียกว่า RAID 1+0 คือการรวมข้อดีของ RAID 1 (Mirroring) กับ RAID 0 (Striping) เข้าไว้ด้วยกัน โดยทำการแบ่งข้อมูลเป็นส่วนเล็ก ๆ (striping) และทำสำเนาข้อมูล (mirroring) บนฮาร์ดไดรฟ์กลุ่มหนึ่ง
ข้อดี:
- ความเร็วสูงทั้งอ่านและเขียน ด้วยระบบแบ่งข้อมูลแบบ stripe
- มีความปลอดภัยสูงเพราะมีสำเนาข้อมูล mirrored ในแต่ละกลุ่ม
- สามารถทนต่อการเสียหายของฮาร์ดไดรฟ์ได้หลายลูก เพียงแต่ต้องไม่เสียหายครบทั้งคู่ในกลุ่ม mirror เดียวกัน
ข้อเสีย:
- ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่าปกติ เพราะต้องทำ mirroring เช่นเดียวกับ RAID 1
- ต้องใช้ฮาร์ดไดรฟ์อย่างน้อย 4 ลูกขึ้นไป จึงจะตั้งระบบได้
ในบริษัทสื่อโฆษณาระดับโลกที่ผมเคยร่วมงาน ได้ลงทุนสร้างระบบเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ภายในประเทศไทย โดยเลือกใช้ RAID 10 สำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง เช่น ระบบ CRM และฐานข้อมูลลูกค้า การลงทุนในฮาร์ดไดรฟ์ระดับนี้ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 8,000-12,000 THB ต่อลูก ขึ้นอยู่กับสเปคและผู้จัดจำหน่าย
เปรียบเทียบ RAID ระดับต่าง ๆ ในตาราง
ประเภท RAID | จำนวนฮาร์ดไดรฟ์ขั้นต่ำ | ลักษณะหลัก | ความเร็วในการอ่าน | ความเร็วในการเขียน | ความสามารถทนทานต่อการเสียหายของ HDD | พื้นที่เก็บข้อมูลที่ใช้งานได้ (ประมาณ) | เหมาะกับการใช้งานแบบไหน |
---|---|---|---|---|---|---|---|
RAID 1 (Mirroring) | 2 | ทำสำเนาข้อมูลคู่กันทุกลูก | ดีมาก (อ่านจากหลายลูกได้) | ปานกลาง | เสียน้อยที่สุด สามารถเสียได้ 1 ลูกโดยไม่สูญเสียข้อมูล | 50% ของพื้นที่รวม (1TB ใช้ได้จริง 0.5TB) | ระบบฐานข้อมูลสำคัญ, งานที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุดแต่ไม่เน้นพื้นที่เก็บเยอะ |
RAID 5 (Striping with Parity) | 3 | แบ่งข้อมูลพร้อม parity ตรวจสอบความถูกต้อง | ดีมาก | ปานกลาง ต่ำกว่า RAID 1 เล็กน้อยเพราะคำนวณ parity | ทนต่อการเสียได้ 1 ลูก | (N-1)/N ของพื้นที่รวม (เช่น 3TB ใช้ได้จริงประมาณ 2TB) | ระบบไฟล์เซิร์ฟเวอร์, งานทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพและป้องกันข้อมูลระดับกลาง |
RAID 6 (Double Parity) | 4 | แบ่งข้อมูลพร้อม parity สองชุดเพื่อเพิ่มความปลอดภัย | ดีมาก | ต่ำกว่า RAID 5 เพราะมี parity สองชุด | ทนต่อการเสียได้ถึง 2 ลูกพร้อมกัน | (N-2)/N ของพื้นที่รวม (เช่น 4TB ใช้ได้จริงประมาณ 2TB) | ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่, ธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุดของข้อมูลสำคัญมาก ๆ |
RAID 10 (Striping + Mirroring) | 4 | ผสมผสานระหว่าง Mirroring และ Striping พร้อมกัน | ดีที่สุด (สูงสุดทั้งอ่านและเขียน) | ดีที่สุด (สูงสุดทั้งอ่านและเขียน) | สูง ทนต่อการเสียหายได้หลายลูก แต่ต้องไม่ใช่คู่ mirror เดียวกันพร้อมกัน | 50% ของพื้นที่รวม (เช่น 4TB ใช้ได้จริงประมาณ 2TB) | ระบบแอปพลิเคชันสำคัญ, ฐานข้อมูลธุรกิจ, ระบบที่เน้นประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดพร้อมกัน |
เมื่อไรควรเลือกใช้ RAID แบบไหน?
- ถ้าคุณคือผู้ประกอบการ SME ในไทย ที่ต้องการระบบเก็บข้อมูลง่าย ๆ ปลอดภัย แต่ไม่ซับซ้อน RAID 1 ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการป้องกันสูญหายข้อมูลพื้นฐาน เช่น ร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็ก หรือธุรกิจบริการออนไลน์ทั่วไป
- หากองค์กรของคุณมีงบประมาณกลาง ๆ และต้องการประสิทธิภาพโดยไม่สูญเสียพื้นที่เก็บข้อมูลมาก แนะนำ RAID 5 ซึ่งเหมาะกับระบบไฟล์เซิร์ฟเวอร์หรือเว็บเซิร์ฟเวอร์โดยทั่วไป ที่ยังสามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากได้อย่างดี เช่น บริษัทเอเจนซี่โฆษณาในกรุงเทพฯ ที่ผมเคยร่วมงานก็เลือกใช้ RAID 5 เพื่อบาลานซ์ค่าใช้จ่ายและประสิทธิภาพนี้ครับ
- สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ โรงพยาบาล ธนาคาร หรือธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุดในการเก็บรักษาข้อมูล เช่น ธุรกิจ e-Commerce ยักษ์ใหญ่หรือศูนย์ข้อมูลคลาวด์ระดับโลกในประเทศไทย แนะนำใช้ RAID 6 หรือ RAID 10 เพื่อมั่นใจว่าข้อมูลจะไม่สูญหายในทุกสถานการณ์ แม้ว่าราคาฮาร์ดไดรฟ์จะสูงขึ้น ความคุ้มค่าระยะยาวคือสิ่งสำคัญที่สุดครับ ค่าใช้จ่ายสำหรับฮาร์ดไดรฟ์ระดับนี้อาจเริ่มต้นจากประมาณ 10,000 THB ต่อลูก ถึงหลายหมื่นบาทขึ้นอยู่กับสเปคและยี่ห้อ
บทส่งท้าย: RAID สำคัญกับยุค Data-Driven Marketing อย่างไร?
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเข้าใจเรื่อง RAID ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีนี้ให้เหมาะสมกับธุรกิจและงบประมาณของตนเองได้อย่างถูกต้อง เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังพัฒนาด้านไอทีและการตลาดออนไลน์ในประเทศไทยครับ ขอบคุณครับ!เราเป็นเอเจนซี่การตลาดที่ดีที่สุดในประเทศไทยบนอินเทอร์เน็ตหากคุณต้องการความช่วยเหลือ กรุณาติดต่อเราผ่านแบบฟอร์มติดต่อปรึกษาฟรี
TH Ranking ให้บริการทราฟฟิกเว็บไซต์คุณภาพสูงที่สุดในประเทศไทย เรามีบริการทราฟฟิกหลากหลายรูปแบบสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ทราฟฟิกเว็บไซต์, ทราฟฟิกจากเดสก์ท็อป, ทราฟฟิกจากมือถือ, ทราฟฟิกจาก Google, ทราฟฟิกจากการค้นหา, ทราฟฟิกจาก eCommerce, ทราฟฟิกจาก YouTube และทราฟฟิกจาก TikTok เว็บไซต์ของเรามีอัตราความพึงพอใจของลูกค้า 100% คุณจึงสามารถสั่งซื้อทราฟฟิก SEO จำนวนมากทางออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ เพียง 398 บาทต่อเดือน คุณสามารถเพิ่มทราฟฟิกเว็บไซต์ ปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO และเพิ่มยอดขายได้ทันที!
เลือกแพ็กเกจทราฟฟิกไม่ถูกใช่ไหม? ติดต่อเราได้เลย ทีมงานของเราพร้อมให้ความช่วยเหลือ
ปรึกษาฟรี