วิวัฒนาการและพัฒนาการของเทคโนโลยี ChatGPT

วิวัฒนาการและพัฒนาการของเทคโนโลยี ChatGPT เกิดจากการพัฒนาโมเดลภาษา AI ที่ใช้สถาปัตยกรรม GPT (Generative Pre-trained Transformer) ของ OpenAI ซึ่งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ GPT-1 ในปี 2018 จนถึง GPT-4 และ GPT-4 Turbo ในปี 2024 ที่มีความสามารถสูงขึ้นและรองรับการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนมากขึ้น

โดยสรุปเส้นทางพัฒนาหลักของ ChatGPT Models ได้แก่

• GPT-1 (2018): โมเดล Transformer ตัวแรก มีพารามิเตอร์ 117 ล้านตัว
• GPT-2 (2019): โมเดลขนาดใหญ่ขึ้น มีพารามิเตอร์สูงสุด 1.5 พันล้านตัว สามารถสร้างข้อความต่อเนื่องได้ดีขึ้น
• GPT-3 (2020): โมเดลขนาดใหญ่ถึง 175 พันล้านพารามิเตอร์ รองรับงานที่ซับซ้อนมากขึ้น
• GPT-3.5 (มีนาคม 2023): ปรับแต่งสำหรับการใช้งาน ChatGPT แบบฟรี
• GPT-4 (มีนาคม 2024): รองรับข้อความและภาพ พร้อมความสามารถที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
• GPT-4 Turbo (พฤศจิกายน 2024): เร็วกว่าและประหยัดกว่า GPT-4 พร้อม Context Window ขนาดใหญ่

ในช่วงแรกของ ChatGPT (เช่น GPT-3.5 ในปี 2565) ระบบเป็นแบบปิด ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเรียลไทม์หรือค้นคว้าข้อมูลนอกโมเดลได้ ทำให้ข้อมูลที่ตอบอาจไม่ทันสมัยและมีความเสี่ยงในการให้ข้อมูลผิด (hallucination)

นอกจากนี้ ChatGPT มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านความสามารถและเงื่อนไขการใช้งาน รวมถึงการปรับปรุงความแม่นยำและความปลอดภัยของข้อมูล

โดยรวม เทคโนโลยี ChatGPT ได้เปลี่ยนโฉมการวิจัยและการใช้งาน AI ด้านภาษาอย่างรวดเร็ว จากโมเดลที่ตอบข้อความตามข้อมูลที่เรียนรู้ มาเป็นระบบที่สามารถรองรับงานที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน

ข้อควรระวัง:

• ข้อมูลที่ ChatGPT ให้ อาจมีความผิดพลาดได้ เนื่องจากเป็นการคาดเดาคำถัดไปจากข้อมูลที่เรียนรู้ จึงควรตรวจสอบความถูกต้องก่อนใช้งานจริง
• การใช้ภาษาไทยอาจได้คำตอบที่ไม่ครบถ้วนเท่าภาษาอังกฤษ เนื่องจากข้อมูลภาษาไทยที่ใช้ในการฝึกมีน้อยกว่า
• ไม่ควรป้อนข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลลับลงในระบบเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว