
ในยุคที่ผู้บริโภคค้นหาร้านอาหารผ่าน Google, Facebook หรือแอปเดลิเวอรี่มากกว่าการเดินผ่านหน้าร้าน การโปรโมตร้านอาหารออนไลน์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่พฤติกรรมการบริโภคมีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ร้านอาหารที่ต้องการอยู่รอดและเติบโต ต้องรู้วิธีการทำตลาดออนไลน์ให้ตรงจุดและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะเจาะลึกกลยุทธ์และเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ใช้ได้ผลจริงสำหรับร้านอาหารในประเทศไทย ทั้งแบบนั่งทานในร้าน (Dine-in) และแบบสั่งกลับบ้าน (Takeaway / Delivery)
1. สร้างตัวตนออนไลน์ให้ครบทุกช่องทางหลัก
1.1 เว็บไซต์ (Website)
การมีเว็บไซต์ถือเป็น “หน้าร้านดิจิทัล” ของร้านอาหาร ควรออกแบบให้ใช้งานง่าย รองรับมือถือ และมีข้อมูลพื้นฐาน เช่น:
- เมนูพร้อมราคา
- เวลาเปิด-ปิด
- แผนที่ / แผนที่ Google Maps
- ช่องทางการจองโต๊ะหรือสั่งอาหาร
- ภาพถ่ายอาหารที่น่ารับประทาน
ต้นทุน: เริ่มต้นประมาณ 5,000–20,000 บาท หากจ้างนักพัฒนา หรือใช้งานแพลตฟอร์มสำเร็จรูปอย่าง Wix หรือ WordPress
1.2 Google Business Profile (เดิมชื่อ Google My Business)
ฟรี! และเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่คนไทยใช้มากที่สุดเวลาเสิร์ชคำว่า “ร้านอาหารใกล้ฉัน”
สิ่งที่ควรอัปเดต:
- ภาพอาหารและร้าน
- หมวดหมู่ (เช่น อาหารไทย, อาหารญี่ปุ่น)
- คำอธิบายร้าน
- เบอร์โทรศัพท์
- ตอบรีวิวลูกค้า
1.3 Facebook Page และ Instagram
ทั้งสองแพลตฟอร์มนี้ยังคงมีอิทธิพลสูงในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 20–45 ปี ที่นิยมดูรีวิวและเมนูผ่านโพสต์และ Story
- ใช้ Facebook สำหรับโพสต์โปรโมชัน รีวิว และ LIVE
- ใช้ Instagram สำหรับภาพอาหารที่ดึงดูดสายตา
1.4 LINE OA (LINE Official Account)
คนไทยใช้ LINE กันแทบทุกคน การมี LINE OA เป็นการติดต่อสื่อสารและส่งโปรโมชันได้โดยตรงถึงลูกค้า
- ใช้ส่งคูปองส่วนลด
- ระบบแชทตอบลูกค้า
- ระบบสะสมแต้ม (LINE CRM)
2. ยิงโฆษณาออนไลน์แบบคุ้มค่า
2.1 Facebook Ads และ Instagram Ads
สามารถตั้งเป้าหมายเจาะจงพื้นที่ใกล้ร้าน เช่น ยิงโฆษณาให้เฉพาะคนในรัศมี 5 กิโลเมตรเห็นได้
- ตัวอย่าง: โปรโมต “ชุดอาหารกลางวัน 89 บาท เฉพาะวันจันทร์–ศุกร์”
- งบประมาณเริ่มต้น: วันละ 100–300 บาท
2.2 Google Ads (Search Ads)
เหมาะสำหรับร้านที่ต้องการให้คนหาเจอเวลาพิมพ์คำว่า “ร้านอาหารญี่ปุ่น รังสิต” หรือ “ข้าวมันไก่เดลิเวอรี่ กรุงเทพ”
- งบขั้นต่ำ: เริ่มต้น 1,000–5,000 บาทต่อเดือน
2.3 Influencer Marketing
เชิญบล็อกเกอร์สายกินหรือ TikToker มารีวิวร้าน
- เลือกจากกลุ่ม Micro-influencer ที่มีผู้ติดตาม 5,000–50,000 คน ราคาจะอยู่ที่ 1,000–5,000 บาทต่อโพสต์
- ให้ฟรีอาหารหรือส่วนลดพิเศษแลกรีวิว
3. ลงทะเบียนร้านกับแอปเดลิเวอรี่ยอดนิยม
คนไทยใช้แอปส่งอาหารอย่าง Grab, LINEMAN, Robinhood และ Foodpanda เป็นประจำ ร้านที่ไม่มีในแอปมักเสียโอกาสในการขายโดยไม่รู้ตัว
ข้อดีของการลงแอป:
- ขยายฐานลูกค้าโดยไม่ต้องมีเว็บไซต์
- โปรโมตร้านผ่านแคมเปญของแอป (เช่น ส่วนลด 20%)
- ได้รีวิวเพิ่มในระบบแอป
ค่าคอมมิชชั่น (ขึ้นกับแต่ละแอป):
- Grab: ประมาณ 25%–30%
- Robinhood: ไม่มีค่าคอม แต่มีค่า GP ขึ้นอยู่กับโปรโมชัน
4. เทคนิคการสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดลูกค้า
4.1 ภาพถ่ายอาหารต้อง "น่ากิน" จริง
ลงทุนกับการถ่ายภาพที่มีแสงดี มุมสวย และดู “กินได้” บางร้านจ้างช่างภาพวันเดียว ถ่ายเมนูทั้งหมดไว้ใช้ยาว ๆ
4.2 คลิปวิดีโอสั้น (Short Video / TikTok / Reels)
คนไทยนิยมดูวิดีโอรีวิวร้านอาหาร ควรผลิตคลิปแนว:
- เบื้องหลังการทำอาหาร
- ลูกค้ารีวิวจริง
- เมนูแนะนำใน 30 วินาที
4.3 คำบรรยาย / แคปชันที่มีอารมณ์ร่วม
แนะนำให้เขียนแนวเล่าเรื่อง เช่น
“แกงเขียวหวานสูตรคุณยาย ที่ตกทอดมานานกว่า 40 ปี” ดีกว่าเขียนแค่ “แกงเขียวหวาน 89 บาท”
5. ใช้กลยุทธ์โปรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดขาย
5.1 ส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่
เสนอส่วนลด 10%–20% สำหรับลูกค้าที่สั่งครั้งแรกผ่าน LINE หรือแอป
5.2 ซื้อ 1 แถม 1 เฉพาะวัน
โปรนี้ได้ผลเสมอ เช่น “ซื้อพิซซ่าแถมฟรีเฉพาะวันพุธ”
5.3 สะสมแต้ม แลกรางวัล
ใช้ระบบสะสมแต้มผ่าน LINE OA หรือบัตรสะสมแต้ม
6. บริหารรีวิวและความน่าเชื่อถือ
6.1 กระตุ้นให้ลูกค้ารีวิว
หลังลูกค้ารับประทานหรือรับอาหาร ควรส่งข้อความขอรีวิว พร้อมให้ส่วนลดเล็กน้อยในการมาใช้บริการครั้งหน้า
6.2 ตอบทุกรีวิว ทั้งดีและไม่ดี
- รีวิวดี: ตอบขอบคุณด้วยภาษาที่จริงใจ
- รีวิวแย่: ขอโทษ พร้อมชี้แจง และเสนอแนวทางแก้ไข
6.3 อย่าลืม Pantip, Wongnai, และ Google Reviews
แพลตฟอร์มรีวิวไทยเหล่านี้ยังคงมีอิทธิพลสูง โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานอายุ 25–45 ปี
7. วิเคราะห์ข้อมูลและวัดผล
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น:
- Facebook Insights: ดูว่าโพสต์ไหนมีคนสนใจมาก
- Google Analytics: ดูว่าคนเข้ามาเว็บไซต์จากที่ไหน
- LINE OA Analytics: ตรวจสอบว่าแคมเปญไหนคนกดเยอะ
จากนั้นปรับปรุงกลยุทธ์ตามพฤติกรรมจริง ไม่ใช่แค่คาดเดา
8. เคล็ดลับสำหรับปี 2025: AI และ Automation
8.1 ระบบตอบแชทอัตโนมัติ (Chatbot)
เช่น ลูกค้าพิมพ์ว่า “ขอดูเมนู” แล้วบอทส่งลิงก์เมนูกลับไปอัตโนมัติ
8.2 ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ยอดขาย
บางระบบ POS หรือเดลิเวอรี่มี AI บอกว่าเมนูไหนขายดีเวลาไหน ควรโปรโมตช่วงใด
8.3 ระบบจองโต๊ะอัตโนมัติผ่านเว็บไซต์หรือ LINE
ลดภาระการรับโทรศัพท์ เพิ่มประสบการณ์ลูกค้า
สรุป: ร้านอาหารในไทยควรเริ่มจากอะไรก่อน?
ขั้นตอน | รายละเอียด | งบประมาณโดยประมาณ (THB) |
---|---|---|
สร้างเว็บไซต์/Google My Business | ให้ลูกค้าเสิร์ชเจอง่าย | 5,000–20,000 |
เปิด Facebook/IG Page และ LINE OA | ตัวตนในโซเชียล | ฟรี–3,000 (กรณีทำโลโก้/ภาพโปร) |
ยิง Ads ในรัศมีร้าน | กระตุ้นยอดขายทันที | วันละ 100–300 บาท |
ลงแอปเดลิเวอรี่ | เพิ่มช่องทางขาย | ค่าคอมมิชชั่น 0%–30% |
ใช้ Influencer รีวิว | เพิ่มการรู้จัก | 1,000–5,000 ต่อคน |
สร้างวิดีโอ/ภาพอาหาร | เนื้อหาที่ขายได้ | 0–10,000 บาท |
ตอบรีวิว/บริหารชื่อเสียง | เพิ่มความน่าเชื่อถือ | ฟรี |
สุดท้ายนี้…
การโปรโมตร้านอาหารออนไลน์ในประเทศไทยไม่ใช่แค่เรื่องของการโพสต์รูปสวย ๆ แล้วรอลูกค้า แต่ต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทย รู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมาย และสื่อสารให้ตรงจุด
หากคุณวางแผนและบริหารช่องทางดิจิทัลอย่างถูกวิธี ร้านอาหารของคุณก็สามารถมีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น สร้างยอดขายได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลของปี 2025
เราเป็นเอเจนซี่การตลาดที่ดีที่สุดในประเทศไทยบนอินเทอร์เน็ต
หากคุณต้องการความช่วยเหลือ กรุณาติดต่อเราผ่านแบบฟอร์มติดต่อ
TH Ranking ให้บริการทราฟฟิกเว็บไซต์คุณภาพสูงที่สุดในประเทศไทย เรามีบริการทราฟฟิกหลากหลายรูปแบบสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ทราฟฟิกเว็บไซต์, ทราฟฟิกจากเดสก์ท็อป, ทราฟฟิกจากมือถือ, ทราฟฟิกจาก Google, ทราฟฟิกจากการค้นหา, ทราฟฟิกจาก eCommerce, ทราฟฟิกจาก YouTube และทราฟฟิกจาก TikTok เว็บไซต์ของเรามีอัตราความพึงพอใจของลูกค้า 100% คุณจึงสามารถสั่งซื้อทราฟฟิก SEO จำนวนมากทางออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ เพียง 398 บาทต่อเดือน คุณสามารถเพิ่มทราฟฟิกเว็บไซต์ ปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO และเพิ่มยอดขายได้ทันที!
เลือกแพ็กเกจทราฟฟิกไม่ถูกใช่ไหม? ติดต่อเราได้เลย ทีมงานของเราพร้อมให้ความช่วยเหลือ
ปรึกษาฟรี