
แนะนำความสำคัญของ Cumulative Layout Shift (CLS) ใน SEO
ในยุคที่การแข่งขันทางออนไลน์รุนแรงอย่างมาก การทำ SEO ถือเป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้งานและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฟรีแลนซ์ในประเทศไทยที่ต้องการสร้างความโดดเด่นผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน หนึ่งในปัจจัยที่ Google เน้นมากขึ้นคือประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ หรือ User Experience (UX) ซึ่ง Cumulative Layout Shift (CLS) เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่เชื่อมโยงกับ UX และส่งผลโดยตรงต่ออันดับการค้นหาใน Google จากประสบการณ์จริงในการเป็นนักการตลาดดิจิทัลและผู้สอนในเวบินาร์มากมายสำหรับฟรีแลนซ์ไทย ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับ CLS อย่างลึกซึ้ง พร้อมข้อคิดและกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
CLS คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?
CLS ย่อมาจาก Cumulative Layout Shift หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งองค์ประกอบบนหน้าเว็บหรือแอปพลิเคชันที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันระหว่างการโหลดหน้าเว็บ ซึ่งเกิดจากภาพ กรอบข้อความ ปุ่ม หรือโฆษณาที่ถูกแสดงหรือเลื่อนตำแหน่งอย่างกระทันหันขณะผู้ใช้งานกำลังโต้ตอบกับหน้าเว็บ
ตัวอย่างง่ายๆ คือ เมื่อคุณกำลังจะคลิกปุ่มที่หน้าจอ แต่จู่ๆ ปุ่มนั้นเลื่อนหรือที่อยู่เปลี่ยนไป ทำให้คุณคลิกผิดและอาจเกิดความหงุดหงิดได้ การเกิด CLS ที่สูง แปลว่าหน้าเว็บของคุณมีความไม่เสถียรและสร้างอุปสรรคในการใช้งานจน Google ให้คะแนน SEO ต่ำลง ดังนั้น CLS จึงเป็นตัวชี้วัดที่มีผลต่อการจัดอันดับ SEO รวมถึงประสบการณ์ของผู้ใช้โดยตรง
วิธีวัด CLS อย่างถูกต้อง
เครื่องมือที่นิยมใช้วัด CLS ได้แก่ Google PageSpeed Insights และ Google Search Console โดย CLS จะมีค่าเป็นตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 1 โดยค่าสูงหมายความว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง Layout มาก ในขณะที่ค่าน้อยกว่า 0.1 ถือว่าดีและเหมาะสมกับการให้ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี ดังนี้:
ค่าสำหรับ CLS | ความหมาย |
---|---|
น้อยกว่า 0.1 | ดีมาก ไม่มีผลกระทบผู้ใช้งาน |
ระหว่าง 0.1 – 0.25 | ปานกลาง มีผลกระทบบ้าง เหมาะสมที่จะปรับปรุง |
มากกว่า 0.25 | ไม่ดี ส่งผลเสียต่อ UX และ SEO ควรแก้ไขด่วน |
ผลกระทบจาก CLS ที่เกิดขึ้นจริงในไทย
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ร่วมงานกับฟรีแลนซ์ในกรุงเทพฯ ที่รับทำเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์เพื่อเปิดตลาดในไทยและต่างประเทศ พบว่าเว็บไซต์ของลูกค้าติดอันดับร่วงลงอย่างรวดเร็วแม้จะมีคอนเทนต์คุณภาพและลิงก์ย้อนกลับจำนวนมาก สาเหตุเกิดจากคะแนน CLS ที่สูงเกิน 0.25 เนื่องจากโฆษณาแบนเนอร์และรูปภาพที่โหลดช้าและเคลื่อนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประสบการณ์ผู้ใช้แย่และ Google ลดอันดับอย่างเห็นได้ชัด เป็นบทเรียนที่ชี้ให้เห็นว่าการมองแค่คอนเทนต์และลิงก์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องใส่ใจในปัจจัยด้านเทคนิคโดยเฉพาะ CLS
สาเหตุหลักของ CLS ที่ควรรู้
- การโหลดรูปภาพและสื่อที่ไม่มีขนาดกำหนดไว้: เมื่อหน้าเว็บโหลดรูปแต่ไม่มีการกำหนดขนาดภาพที่ชัดเจน ทำให้พื้นที่ของภาพนั้นยังไม่ถูกจัดสรรก่อนโหลดเสร็จ ส่งผลให้ข้อความหรือปุ่มแถวเดียวกันเลื่อนตำแหน่ง
- การแทรกโฆษณาหรือวิดเจ็ตแบบไดนามิก: โฆษณาที่ถูกแสดงหลังจากที่เนื้อหาโหลดบางส่วนแล้ว จะทำให้เคลื่อนย้ายองค์ประกอบบนหน้าเว็บ
- ฟอนต์ที่โหลดล่าช้า (Font swapping): การเปลี่ยนฟอนต์จาก default เป็นฟอนต์เฉพาะหลังจากโหลดทำให้ข้อความกระโดดหรือเปลี่ยนขนาด
- iframe หรือ embed ที่ไม่มีขนาดชัดเจน: เช่นวิดีโอหรือแผนที่ที่ฝังมาโดยไม่กำหนดขนาดล่วงหน้า
กลยุทธ์เด็ดที่ผมใช้แก้ไขเรื่อง CLS จากเวทีสอนฟรีแลนซ์
จากประสบการณ์การทำงานจริง ผมแบ่งปันเทคนิคการแก้ไข CLS ที่ฟรีแลนซ์ในไทยสามารถนำไปใช้ได้ทันที ดังนี้
1. กำหนดขนาดภาพและองค์ประกอบล่วงหน้าอย่างชัดเจน
ทุกครั้งที่อัพโหลดภาพลงหน้าเว็บต้องกำหนด width
และ height
รวมถึงใช้ attribute aspect-ratio
ใน CSS ช่วยป้องกันการเลื่อนที่เกิดขึ้นระหว่างโหลดภาพ นอกจากนี้ การใช้รูปแบบภาพที่เบาและเหมาะสมอย่าง WebP จะช่วยให้โหลดเร็วขึ้นและลดเวลาที่การเลื่อนไปมาเกิดขึ้น
2. โหลดโฆษณาและวิดเจ็ตแบบ lazy load อย่างระมัดระวัง
สำหรับโฆษณาที่จำเป็น ควรกำหนดพื้นที่สำรองให้ชัดเจนและใช้เทคนิค lazy load อย่างมีการทำงานร่วมกับ CLS เพื่อให้พื้นที่นั้นไม่ย้ายหรือขยายโดยไม่คาดคิด
3. ป้องกัน font swapping ด้วย font-display
การใช้ font-display: swap;
ใน CSS ช่วยให้โหลดฟอนต์แบบ fallback ก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนฟอนต์จริงโดยไม่ทำให้ตำแหน่งของข้อความกระโดด
4. ตรวจสอบและแก้ไข iframe หรือ embed ที่ไม่มีการกำหนดขนาด
ตั้งขนาด embed ให้เป็นตัวเลขที่แน่นอน หรือกำหนดพื้นที่สำรองด้วย CSS เพื่อป้องกันไม่ให้แผนที่หรือวิดีโอขยายออกตัวหน้าเว็บ
การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ CLS ในโปรเจคจริง
จากประสบการณ์ที่ผมร่วมงานกับฟรีแลนซ์ที่รับงาน SEO ในกรุงเทพฯ เราใช้ Google PageSpeed Insights เพื่อประเมินประสิทธิภาพของหน้าเว็บและตรวจสอบคะแนน CLS รวมทั้งใช้ Google Search Console เพื่อดูข้อมูลเชิงลึกในระดับหน้าเว็บจริง
ตัวอย่างที่ผมเจอคือเว็บไซต์ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ CLS ของหน้าเมนูอาหารสูงถึง 0.35 เนื่องจากโหลดภาพเมนูขนาดใหญ่โดยไม่มีการกำหนดขนาด เมื่อแก้ไขโดยกำหนดขนาดภาพล่วงหน้าและใช้เทคนิค lazy loading ผล CLS ลดลงเหลือ 0.08 ส่งผลให้เวลาที่ลูกค้าใช้งานหน้าเว็บดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และอันดับ SEO ขยับขึ้นตามมา
กลยุทธ์การสื่อสารกับลูกค้าและฟรีแลนซ์อื่นๆ
เมื่อสอนฟรีแลนซ์เกี่ยวกับ CLS ของ SEO ผมมักแนะนำให้มีการพูดคุยตัดสินใจร่วมกับลูกค้าเรื่องการวางโฆษณาหรือการใส่วิดเจ็ต เพราะการลด CLS บางครั้งอาจหมายถึงลดพื้นที่หรือจำนวนโฆษณาเพื่อให้ UX ดีขึ้น แต่ก็ต้องตรวจสอบผลกระทบเชิงธุรกิจด้วย เช่น ค่าบริการในการโฆษณาออนไลน์ที่ลูกค้าจ่ายอาจมีมูลค่าเป็นหมื่นถึงแสนบาท (THB) ต่อเดือน จึงต้องหาจุดสมดุลที่เหมาะสมที่สุด
บทเรียนที่ฟรีแลนซ์ไทยควรทราบ
- อย่ามองข้ามปัจจัยเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับ UX อย่าง CLS ถึงแม้คุณจะเป็นคนเขียนคอนเทนต์หรือทำ SEO เน้นคีย์เวิร์ด การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคมีผลทันทีต่ออันดับ
- ตรวจสอบ CLS อย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะหลังจากที่คุณปรับเปลี่ยนโครงสร้างเว็บ หรือเพิ่มฟีเจอร์ใหม่
- ทำความเข้าใจร่วมกับลูกค้าว่าการลด CLS อาจทำให้เปลี่ยนแปลงการวางโฆษณาหรือการออกแบบเล็กน้อย เพื่อแลกกับประสบการณ์ที่ดีกว่าและอันดับดีในระยะยาว
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่ Google แนะนำ เช่น Lighthouse, PageSpeed Insights และ Search Console อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ปัญหายอดนิยมที่เจอกับ CLS ในฟรีแลนซ์ไทย
ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะของเว็บไซต์แสดงโฆษณาหลายจุด รูปภาพในบทความและเมนูสินค้าที่ไม่ได้กำหนดขนาด และการนำฟอนต์เฉพาะมาใช้โดยไม่จัดการเรื่อง font display ผลที่ตามมาคือคะแนน CLS พุ่งสูงและทำให้ลูกค้าไม่พอใจเนื่องจากเว็บไซต์ดูช้าและใช้งานลำบาก
เช่น ฟรีแลนซ์รายหนึ่งที่ผมเคยร่วมงานด้วย ต้องลงทุนปรับปรุงเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์รายได้หลักประมาณ 50,000 บาท (THB) เพื่อแก้ไข CLS ซึ่งในตอนแรกลูกค้ามองว่ามีค่าใช้จ่ายสูงแต่เมื่อลองเปิดใช้งานจริงกลับเห็นยอดสั่งซื้อและการเข้าชมเว็บเพิ่มขึ้น 20% ภายใน 2 เดือน หลังจากเว็บไซต์เสถียรและโหลดไว
การวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อลด CLS สำหรับองค์กรขนาดเล็กและฟรีแลนซ์ไทย
- ประเมินเว็บหรือแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เพื่อตรวจสอบคะแนน CLS ก่อน เพื่อหาจุดอ่อนหลัก
- ออกแบบ Content Layout อย่างคำนึงถึงการกำหนดขนาดภาพและองค์ประกอบทั้งหมด
- เลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วย lazy load หรือโหลดแบบ asynchronous อย่างถูกต้อง
- สื่อสารกับลูกค้าให้เข้าใจถึงความจำเป็นของการลงทุนด้านเทคนิคนี้ โดยเฉพาะในตลาดออนไลน์ที่การแข่งขันรุนแรงในประเทศไทย
สรุปความรู้ในเชิงเทคนิค CLS สำหรับฟรีแลนซ์มือใหม่และมือโปร
- CLS คือหนึ่งใน Core Web Vitals ที่ Google นำมาใช้ประเมินเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
- ค่าหน้าต่ำกว่า 0.1 คือเป้าหมายที่ควรตั้งไว้
- เกิดจากการเลื่อนตำแหน่งสิ่งต่างๆ ระหว่างโหลดหน้าเว็บโดยไม่คาดคิด
- การกำหนดขนาดภาพและองค์ประกอบ, การจัดการโฆษณา, การควบคุม font display และการกำหนด sizing ของ embed เป็นกุญแจสำคัญในการลด CLS
- การดูแล CLS อย่างสม่ำเสมอเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อเพิ่มอันดับ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ดีในระยะยาว
เจาะลึกเทคนิคแก้ไข CLS ขั้นสูงสำหรับฟรีแลนซ์และธุรกิจไทย
จัดการการโหลดภาพอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการภาพในเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ฟรีแลนซ์ควรให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะภาพเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด CLS สูง เทคนิคที่ผมแนะนำคือการใช้ Placeholder หรือ Skeleton loading โดยในช่วงเวลาระหว่างที่ภาพหลักกำลังโหลด เราสามารถแสดงกล่องหรือสีพื้นหลังที่กำหนดขนาดและอัตราส่วนเอาไว้ล่วงหน้า สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ใช้รับรู้ว่าพื้นที่นี้มีสิ่งที่จะโหลดมา ไม่ใช่พื้นที่เปล่าๆ ที่กำลังเลื่อนตำแหน่งอย่างกระทันหัน ตัวอย่างเว็บไซต์ร้านค้าของฟรีแลนซ์ที่ใช้เทคนิคนี้ มีค่าคะแนน CLS ลดลง 40% เมื่อเทียบกับก่อนปรับปรุง
ใช้ Content Visibility เพื่อควบคุมส่วนที่โหลด
Content Visibility เป็นคุณสมบัติใหม่ใน CSS ที่ช่วยให้เราควบคุมการเรนเดอร์ขององค์ประกอบบนหน้าเว็บได้ เช่น เราสามารถตั้งค่าให้โหลดเฉพาะส่วนที่มีความสำคัญ (above-the-fold) ก่อน ส่วนอื่นๆ จะโหลดขึ้นมาทีหลัง ซึ่งช่วยลดการเลื่อน layout ในช่วงต้นและลดค่า CLS โดย CSR จะแนะนำให้ใช้ร่วมกับ lazy loading เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
การทำ Optimum Web Font Loading
CSS ฟอนต์ที่สวยงามแต่โหลดช้าเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด layout shift เทคนิคการโหลดฟอนต์แบบ font preload ช่วยให้เบราว์เซอร์โหลดฟอนต์ก่อนหน้าและลดโอกาสการสับเปลี่ยนฟอนต์ นอกจากนี้ ผมยังแนะนำการเลือกใช้ฟอนต์ที่มีขนาดไฟล์เล็ก หรือใช้ฟอนต์สำรอง (fallback font) ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ลดผลกระทบของ font swapping
พัฒนาหรือเลือกใช้ Plugins และ Framework ที่รองรับ CLS
ในโครงการจริง ผมมักแนะนำให้ฟรีแลนซ์เลือกใช้ CMS หรือ Framework ที่ทันสมัย และได้รับการอัปเดตเพื่อสนับสนุน Core Web Vitals โดยเฉพาะ เช่น WordPress รุ่นใหม่ที่รองรับ lazy loading และตั้งค่าภาพอัตโนมัติ ส่วน React หรือ Vue ที่ปรับแต่งได้ง่ายก็สามารถช่วยจัดการ CLS ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เว็บไซต์ของลูกค้าในไทยที่ต้องการเปิดตลาดมีประสิทธิภาพสูงสุดและเข้ากับแนวทางของ Google
วิธีวัดและตรวจสอบ CLS ในสถานการณ์จริง
การวัด CLS ในสภาพแวดล้อมจริงของผู้ใช้ (Real User Monitoring หรือ RUM) เปิดเผยข้อมูลที่ลึกกว่าการทดสอบทั่วไปใน Lab เราสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics ร่วมกับ Web Vitals JavaScript API เพื่อติดตาม CLS ของผู้ใช้แต่ละรายแบบเรียลไทม์ ข้อมูลนี้ช่วยให้เรารู้ว่าปัญหา CLS เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายใดมากที่สุด เช่น เพศ อายุ หรือภูมิภาค เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งช่วยให้การแก้ไขเจาะจงและแม่นยำ
ผลกระทบจาก CLS ต่อธุรกิจและการตลาดในประเทศไทย
หลายฟรีแลนซ์ในไทยอาจไม่คุ้นเคยกับการเชื่อมโยง CLS กับยอดขายหรือตัวเลขทางธุรกิจ แต่ผมพบว่ายิ่ง CLS สูง ผู้ใช้งานยิ่งมีแนวโน้มที่จะออกจากเว็บไซต์เร็วขึ้น (Bounce Rate เพิ่ม) ส่งผลให้โอกาสในการปิดการขายลดลง ในตลาดไทยที่การแข่งขันตลาดออนไลน์รุนแรงมาก โดยเฉพาะในธุรกิจ SME และฟรีแลนซ์ที่ต้องใช้ทุกโอกาสให้คุ้มค่า คะแนน CLS ที่ดีกลายเป็นปัจจัยชี้วัดที่ไม่ควรมองข้าม
ตารางเปรียบเทียบผลกระทบทางธุรกิจกับค่า CLS
ระดับ CLS | นัยสำคัญทางธุรกิจ | แนวทางแก้ไข |
---|---|---|
< 0.1 | ประสบการณ์ผู้ใช้ดี การเข้าชมเว็บเพิ่มขึ้น, อัตราการอยู่ต่อสูง | รักษามาตรฐาน ดูแลและวิเคราะห์ต่อเนื่อง |
0.1 – 0.25 | ผู้ใช้บางส่วนรู้สึกไม่สะดวก อัตราตีกลับสูงขึ้นเล็กน้อย | ตรวจสอบส่วนที่โหลดช้า ปรับภาพและโฆษณา |
> 0.25 | ประสบการณ์ผู้ใช้แย่, อัตราตีกลับสูงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบยอดขาย | ปรับโครงสร้างเว็บ กำหนดขนาดภาพและพื้นที่โฆษณาใหม่ |
กรณีศึกษาจากฟรีแลนซ์ไทย: เว็บไซต์ท่องเที่ยวในเชียงใหม่
ฟรีแลนซ์ในภาคเหนือได้มอบหมายให้ผมช่วยวิเคราะห์และแก้ไข CLS สำหรับเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่มีเมนูและรูปภาพจำนวนมากซึ่งเป็นหน้าแรกของเว็บไซต์ คะแนน CLS สูงถึง 0.3 ทำให้ผู้เยี่ยมชมไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที
การแก้ไขเริ่มต้นด้วยการกำหนดขนาดภาพและใช้เทคนิค lazy load ด้วยภาพแสดงแทนพื้นบ้าน (Placeholder) และลดขนาดไฟล์ภาพให้เหมาะสม พร้อมทั้งปรับขนาด iframe สำหรับวิดีโอแนะนำเมืองเชียงใหม่ รวมถึงตั้งค่า font-display ที่เหมาะสม ผลลัพธ์หลังปรับปรุง CLS ลดลงเหลือ 0.08 และเวลาการโหลดหน้าเว็บลดลง 31% ส่งผลให้ผู้ใช้สะดวกขึ้นและคะแนน SEO พุ่งสูงขึ้นภายใน 3 สัปดาห์
คำแนะนำสำหรับฟรีแลนซ์ที่เริ่มต้นกับการปรับปรุง CLS
- ศึกษา Core Web Vitals อย่างละเอียด พร้อมติดตามอัปเดตจาก Google เพราะเทคนิคและนโยบายการจัดอันดับมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ
- วางแผนตั้งแต่ต้นโครงการ เพื่อหลีกเลี่ยงการโหลดแบบไม่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการเพิ่มไอเท็มบนหน้าเว็บที่ทำให้เกิด CLS อย่างไม่จำเป็น
- สื่อสารกับลูกค้าอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับความสำคัญของ CLS ต่อ SEO และประสบการณ์ใช้งาน เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณและความร่วมมือ
- เรียนรู้การใช้เครื่องมือวิเคราะห์และจับจุดปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เช่น Lighthouse, PageSpeed Insights และ Web Vitals
โปรแกรมฝึกอบรมและแหล่งความรู้สำหรับฟรีแลนซ์ในไทย
ในฐานะผู้จัดเวบินาร์ ผมแนะนำให้ฟรีแลนซ์ไทยเข้าร่วมชุมชนออนไลน์ เช่นกลุ่ม SEO Freelance Thailand, เข้าร่วมการสัมมนาแบบออนไลน์และออฟไลน์ที่จัดโดย Google Developer Group (GDG) กรุงเทพฯ รวมถึงเรียนรู้จากแพลตฟอร์มต่างประเทศที่รองรับภาษาไทย เช่น Coursera, Udemy ซึ่งบางคอร์สมีราคาไม่เกิน 1,500-2,000 THB จึงสามารถลงทุนได้ไม่ยาก
ทิ้งท้ายด้วยรายละเอียดการวางแผนงบประมาณ
ฟรีแลนซ์ที่ต้องการยกระดับทักษะและบริการ SEO ในเรื่อง CLS อาจต้องลงทุนทั้งเวลาเรียนรู้และค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเว็บไซต์ เช่น ค่าพัฒนาระบบและทดสอบ CLS อาจเริ่มต้นที่ 5,000 – 15,000 THB ขึ้นอยู่กับความซับซ้อน ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อประสิทธิภาพเงินทุนโฆษณาและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว
สุดท้าย การทำ SEO แบบยั่งยืนและครอบคลุมทั้งเทคนิคและเนื้อหา คือกุญแจของฟรีแลนซ์ในประเทศไทยที่อยากเติบโตในตลาดออนไลน์อย่างมั่นคง และ Cumulative Layout Shift (CLS) เป็นหัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในยุคนี้
เราเป็นเอเจนซี่การตลาดที่ดีที่สุดในประเทศไทยบนอินเทอร์เน็ต
หากคุณต้องการความช่วยเหลือ กรุณาติดต่อเราผ่านแบบฟอร์มติดต่อ
ปรึกษาฟรี
TH Ranking ให้บริการทราฟฟิกเว็บไซต์คุณภาพสูงที่สุดในประเทศไทย เรามีบริการทราฟฟิกหลากหลายรูปแบบสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ทราฟฟิกเว็บไซต์, ทราฟฟิกจากเดสก์ท็อป, ทราฟฟิกจากมือถือ, ทราฟฟิกจาก Google, ทราฟฟิกจากการค้นหา, ทราฟฟิกจาก eCommerce, ทราฟฟิกจาก YouTube และทราฟฟิกจาก TikTok เว็บไซต์ของเรามีอัตราความพึงพอใจของลูกค้า 100% คุณจึงสามารถสั่งซื้อทราฟฟิก SEO จำนวนมากทางออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ เพียง 398 บาทต่อเดือน คุณสามารถเพิ่มทราฟฟิกเว็บไซต์ ปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO และเพิ่มยอดขายได้ทันที!
เลือกแพ็กเกจทราฟฟิกไม่ถูกใช่ไหม? ติดต่อเราได้เลย ทีมงานของเราพร้อมให้ความช่วยเหลือ
ปรึกษาฟรี