ตัวอย่างการตั้งราคาจากโปรเจกต์จริงและผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างการตั้งราคาจากโปรเจกต์จริงที่เห็นได้ชัดเจนคือ การใช้กลยุทธ์ Dynamic Pricing ในธุรกิจขนส่ง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย ซึ่งมีการนำระบบ Dynamic Pricing Optimizer (DPO) มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้บริการและคาดการณ์ความต้องการ เพื่อกำหนดราคาที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลให้รายได้ของโครงการเพิ่มขึ้นได้ถึง 6.5% เมื่อเทียบกับนโยบายการตั้งราคาปกติ

นอกจากนี้ ในธุรกิจสายการบินภายในประเทศไทย ทั้งสายการบินบริการเต็มรูปแบบและสายการบินต้นทุนต่ำ (LCC) ก็ใช้กลยุทธ์ Dynamic Pricing โดยการแบ่งราคาตั๋วออกเป็นหลายระดับ (price buckets) เพื่อปรับราคาตามความต้องการและการแข่งขันในตลาด ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารได้ดีขึ้น

ตัวอย่างการตั้งราคาที่ง่ายและใช้กันทั่วไปในธุรกิจบริการ เช่น โรงแรม ใช้วิธี Cost-Based Pricing คือการตั้งราคาขายโดยบวกเปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการจากต้นทุนทั้งหมด เช่น หากต้นทุนการให้บริการห้องพักอยู่ที่ 1,750 บาท และต้องการกำไร 20% ราคาขายจะเป็น 2,100 บาท ซึ่งช่วยให้ครอบคลุมต้นทุนและได้กำไรที่เหมาะสม

ในภาคเกษตร เช่น กรณีศึกษาการตั้งราคาลำไยในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน พบว่าการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้าเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาราคาสินค้าได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีนโยบายและกลยุทธ์การตั้งราคาที่ตอบโจทย์ความเป็นจริงของตลาดและความเป็นธรรมต่อเกษตรกรด้วย

สรุปคือ การตั้งราคาจากโปรเจกต์จริงมักใช้กลยุทธ์ที่ผสมผสานข้อมูลความต้องการตลาด ต้นทุน และการแข่งขัน เช่น Dynamic Pricing ในธุรกิจขนส่งและสายการบิน หรือ Cost-Based Pricing ในธุรกิจบริการ และต้องมีการพัฒนานโยบายที่เหมาะสมในภาคเกษตรเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีและยั่งยืน