ผลกระทบของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ต่อผู้ส่งออกไทยและแนวทางรับมือ

ผลกระทบของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ต่อผู้ส่งออกไทย คือ การที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูงถึง 19-36% ส่งผลให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันและส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่นที่มีภาษีต่ำกว่า นอกจากนี้ ภาษีที่สูงขึ้นยังส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ลดการบริโภคและการนำเข้าโดยรวม ซึ่งกระทบต่อความต้องการสินค้าส่งออกของไทยโดยตรง

สินค้าส่งออกหลักของไทยที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่

• คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (ตลาดสหรัฐฯ 42.9%)
• ผลิตภัณฑ์ยาง (ตลาดสหรัฐฯ 31.6%)
• โทรศัพท์และอุปกรณ์ (ตลาดสหรัฐฯ 58.5%)
• รถยนต์และอุปกรณ์ (ตลาดสหรัฐฯ 6.1%)
• เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (ตลาดสหรัฐฯ 18.6%)

แนวทางรับมือของไทย มีดังนี้

1. เจรจาลดภาษีตอบโต้ เพื่อให้ระดับภาษีลดลงจาก 36% เหลือประมาณ 19% หรือใกล้เคียงกับประเทศอาเซียนอื่น ๆ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไทย
2. กระจายตลาดส่งออก ไปยังภูมิภาคอื่นเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้
3. เสริมสร้างกฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า ให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนและเพิ่มความโปร่งใสในการค้าระหว่างประเทศ
4. เพิ่มขีดความสามารถและปรับโครงสร้างผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เช่น การพัฒนานวัตกรรมและลดต้นทุนการผลิต
5. เตรียมรับมือการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในกรณีที่ไทยต้องเปิดตลาดและลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อรักษาความสมดุลทางการค้าและป้องกันผลกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศ

โดยรวม นโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านการส่งออกและการเติบโตของ GDP แต่การเจรจาและการปรับตัวของภาคธุรกิจและภาครัฐจะช่วยลดแรงกระแทกและรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยได้